วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563

รีวิ๊วววววว รีวิว แบบเจาะลึก(มั้ง) Amazfit Verge Lite Smart watch ราคาเบาๆ จาก Xiaomi


จากเมื่อช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาเจ้า VivoSmartHR ของ ผบ. ผมมันแฮงค์ เอ๋อ ค้าง ใช้งานไม่ได้ เลยไปได้เจ้า Amazfit Verge Lite(มือสอง) มาให้ ผบ. ใช้แทนของเดิม ที่สุดท้ายมันดันกลับมาใช้งานได้ปรกติแบบงงๆ ครับ

สำหรับเจ้า Verge Lite ตัวนี้ มาในกล่องสีขาวเรียบ หรู ดูดีตามสไตล์เสี่ยวหมี ในกล่องมามีตัวนาฬิกา สายชาร์จ และคู่มืออีกหนึ่งเล่ม ตัวนาฬิกาทำด้วยวัสดุ polycarbonate หน้าจอเป็นจอ AMOLED ขนาด 1.3" 360x360 pixel multi-touch แบบกลม มีปุ่มกดด้านข้างอีกหนึ่งปุ่ม ส่วนตัวสายเป็นสายซิลิโคนขนาด 22 mm. แบบ quick release ซึ่งส่วนตัวแล้วผมว่าค่อนข้างสั้นซึ่งผมใส่เองยังเกือบสุดสาย

 
 

ตัวเครื่องมี GPS สามารถรับดาวเทียมได้สองระบบคือ GPS ของอเมริกา กับ Glonass ของรัสเซีย ที่ด้านหลังของตัวเรือนจะมี Heart Rate Sensor แบบ Optical และตัวเรือนสามารถกันน้ำระดับ IP68 ครับ สามารถใส่ล้างมือได้ครับ

แบตเตอรี่ของเครื่องมีขนาด 390 mAmp สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 20วัน หรือ 40ชั่วโมงใน mode GPS ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 

ตัวเครื่องสามารถเชื่อมต่อกับ smartphone ด้วย bluetooth 5.0 แต่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับ sensor ภายนอกเช่น Cadence, Power meter, Footpod เช่น Running Dynamic หรือ MileStone pod ได้ ซึ่งจะทำให้ขาดข้อมูลกิจกรรมในส่วนนี้ไปครับ

เมื่อเปิดเครื่องครั้งแรก ตัว Verge Lite จะบังคับให้เชื่อมต่อกับแอป mi fit ครับ (หรือเราจะใช้แอป Amazfit แทนกันก็ได้ครับ) เพื่อใช้ในการตั้งค่าต่างๆของตัวนาฬิกาเช่นการเปลี่ยนหน้า watchface การตั้งการแจ้งเตือน ซึ่งเมื่อเชื่อมต่อแล้ว เราสามารถใช้ function เพิ่มเติม เช่น find the phone เพื่อหาโทรศัพท์ หรือจะเป็น music control เพื่อใช้ควบคุมการเล่นเพลงบนโทรศัพท์ ตลอดไปจนถึงการ Sync ข้อมูลกิจกรรมไปยัง Strava หรือ Google Health

การใช้งานโดยทั่วไปไม่ได้ต่างกับ Smartwatch หรือ Smartband ตัวอื่นมากนัก มี function ในการนับก้าว เก็บข้อมูลการนอนหลับ คำนวณแคลอรี่ที่ใช้ และแจ้งเตือนต่างๆ

ตัวเครื่องมีการกำหนดรูปแบบของกิจกรรมการออกกำลังกายไว้ทั้งหมด 7รูปแบบกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น วิ่ง วิ่งบนลู่สายพาน ปั่นจักรยาน คาร์ดิโอ ซึ่งสามารถที่จะ upload ข้อมูลกิจกรรมไปยัง strava ผ่านทางแอป mi fit หรือ Amazfit ได้

ผมทดสอบบันทึกข้อมูลตอนวิ่ง เทียบกับ Garmin Instinct ที่ใช้อยู่ ปรากฏว่ามีระยะเกินมาประมาณ 50m. แต่ HR ที่วัดได้ค่อนข้างตรงกัน ในระหว่างวิ่งหน้าจอจะดับ ถ้าจะดูข้อมูลต้องกดที่ปุ่ม Home ด้านข้างหน้าจอก็จะติดครับ แต่ข้อควรระวังนิดหน่อยคือ ก่อนที่จะเริ่มวิ่ง หรือปั่นควรที่จะรอให้ตัวนาฬิกาจับสัญญาณ GPS ได้ก่อนแล้วค่อยกด Go ครับ



หน้าจอจะแสดงข้อมูลต่างๆที่จำเป็นเช่น ระยะทางในการวิ่ง ความเร็ว อัตราการเต้นของหัวใจ แต่ไม่สามารถปรับแต่งหรือแก้ไขได้

ระหว่างวิ่งตัวเครื่องสามารถแจ้งเตือนต่างๆได้เช่น ครบทุกๆระยะที่ตั้งไว้ เตือน heart rate ต่ำกว่า หรือสูงกว่า zone ที่ต้องการ หรือheart rate สูงกว่าค่าที่กำหนดไว้ได้

การจับสัญญาณ GPS ทำได้รวดเร็วไม่แพ้การ์มิน โดยใช้เวลาราวๆ 20วินาทีถึง 1นาที ซึ่ง Instinct ก็ใช้เวลาราวๆนี้เช่นกันครับ


  
ข้อมูลการวิ่งที่ได้จาก Verge Lite



ข้อมูลการวิ่งที่ได้จาก Garmin Instinct

ทดสอบข้อมูลตอนปั่น เปรียบเทียบกับ Garmin Edge820 ด้วความที่มันไม่สามารถต่อกับ sensor ภายนอกได้ จึงจะไม่มีข้อมูลของรอบขาครับ ตัวนาฬิกาจะจับความเร็วและระยะทางจาก GPS ระยะทางที่ได้เมื่อเทียบกับ Edge820 ระยะหายไปประมาณ 300m และไม่สามารถบันทึกค่าความชันได้เนื่องจากไม่มี barometer 

  

ข้อมูลการปั่นที่ได้จาก Verge Lite


ข้อมูลการปั่นที่ได้จาก Garmin Edge820

เก็บข้อมูลการนอน Verge Lite ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกับ Smartwatch หรือ Smart band อื่นๆ  เช่นกันครับ โดยการวิเคราะห์การนอนสามารถบอกข้อมูลได้ว่าเราเริ่มหลับที่เวลาไหน ตื่นเวลาไหน หลับลึก หลับตื้นเท่าไหร่ แต่ไม่สามารถจับได้ว่าในระหว่างคืนมีการตื่นกี่ครั้ง ครั้งละกี่นาที ซึ่งจากการทดสอบ มันสามารถบอกได้ว่าผมเข้านอนก่อนเที่ยงคืนนิดหน่อยและตื่นตอนตีห้ากว่าๆ ซึ่งค่อนข้างตรง แต่ตอนที่ผมตื่นมาตอนตีสี่เพื่อไปเข้าห้องน้ำตัวนาฬิดาไม่สามารถจับได้



จากที่ทดลองใช้งาน โดยรวมแล้วส่วนตัวผมว่าคุ้มกับราคาที่จ่ายครับ สำหรับใครที่หา smartwatch ไว้ใช้ น่าจะเป็นตัวเลือกนึงที่น่าสนใจเลยล่ะครับ แต่ถ้าใครเน้นสายกีฬาต้องการการวางแผน workout, training plan ล่ะก็ไป Garmin ได้เลยครับ เพราะ Mi ไม่ feature นี้ให้ใช้งานครับ

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2562

XOSS G+ รีวิวววววว ไมล์ GPS ราคาไม่ถึงพันจาก Lazada!!!

เมื่อก่อนใครอยากจะมีไมล์ GPS ต้องจ่ายค่าตัวหลักหมื่น จนเมื่อสามสี่ปีก่อนมี Bryton และอีกหลายแบรนด์ เข้ามาทำตลาดในราคาหลักพัน ทำให้นักปั่นหลายคนสบายกระเป๋ากันไปพอสมควร แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนผมไปเจอเจ้านี่บน Lazada ด้วยราคาเบาๆ ใบเทาๆมีทอน!!!! 

XOSS G+ ไมล์จักรยานราคาโคตรเบาใบเทาๆทอนใบแดงๆ(ใครอ่านภาษาจีนได้ ยิ่งทอนเยอะ) ที่แม้กระทั้งซันดิ่งยังต้องปาดเหงื่อ ซึ่งเคยเป็น Project Kickstarter เมื่อสองสามเดือนก่อน ด้วยที่ค่าตัวไม่แพงเลยกดจาก Lazada มาลงเล่นดู

 

ไมล์รุ่นนี้มี 2 เวอร์ชั่นเท่านั้น คือ เวอร์ชั่นภาษาจีน กับ เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ไม่สามารถเปลี่ยนภาษาอื่นหรือเปลี่ยนภาษาข้ามเวอร์ชั่นกันได้ (ตัวเวอร์ชั่นภาษาจีนจะถูกกว่าภาษาอังกฤษเกือบๆ 200 บาท)

ในแพคเกจมีแกะแผงออกมา ใช่ครับอ่านไม่ผิดหรอก มันมาเป็นแผง (ขนาด Lazada มาส่งยังใส่ถุงมาเลย) ในแพคเกจมี ตัวไมล์ สายชาร์จ microUSB ฐานไมล์แบบบใช้ O-Ring รัดแล้วก็ O-Ring อีกสองเส้นแค่นั้น ส่วนคู่มือการใช้งานมีแค่กระดาษแข็งที่ถูกพับมาเป็นฉากหลังแค่นั้น




ตัวไมล์มีหน้าจอขนาด 1.8นิ้ว และน้ำหนักแค่ 57กรัม ขนาดตัวเมื่อเทียบกับ Garmin Edge 820 แล้วถือว่าเล็กกว่านิดหน่อย รองรับดาวเทียมถึง 4 ระบบ GPS ของอเมริกา, Glonass ของรัสเซีย, Galileo ของ EU และ Beidou ของจีน ใช้งานง่ายด้วยปุ่มเพียงสองปุ่ม เท่านั้นครับ



การใช้งาน
XOSS G+ สามารถติดบขาไมล์ของ Garmin ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องดัดแปลงอะไร ใครที่ไม่ชอบฐานไมล์แบบยางรัด ก็ไปหาขาไมล์การ์มินมาติดแทนได้ครับ ตัวไมล์สามารถตั้งค่าได้ด้วยปุ่มเพียงสองปุ่ม มีหน้าจอแสดงข้อมูลมาให้ในตัวเพียง 3 หน้าจอไม่สามารถปรับแต่งเพิ่มเติม ตามต้องการได้ครับ ส่วนเรื่อง Battery ในคู่มือแจ้งมาว่าได้ยาวนานถึง 25 ชั่วโมง ใครที่เป็นสายปั่นออกแดด (Audax) สามารถปั่นได้จนจบแน่นอน




Sensor และการเชื่อมต่อ
เจ้า G+ สามารถสามารถเชื่อมต่อกับ Sensor ต่างๆ เช่น HRM, ความเร็ว, รอบขา ผ่านทางสัญญาณ ANT+ ได้ครับ(ก็ถ้าใช้กับไมล์ Garmin ได้ก็ใช้กับเจ้านี่ได้แหละครับ) แต่ไม่รองรับ Power Meter กับเกียร์ไฟฟ้า ส่วนการเชื่อมต่อกับมือถือ สามารถเชื่อมต่อผ่านทางสัญญาณ Bluetooth เพื่อรับส่งข้อมูลกิจกรรม ค่าการตั้งค่าต่างๆ จาก app บน smartphone ครับ





แอปพลิเคชั่น
สามารถตั้งค่าการใช้งานต่างๆ เช่นการแจ้งเตือน HR หรือความเร็ว ตั้งค่า Timezone, Auto pause, เปิด ปิด Blacklight, หน่วยวัด และการ upload ข้อมูลกิจกรรมไปยัง Strava หรือ TrainingPeaks ได้จากใน app ครับ แถมยังสามารถตั้งค่าโปรไฟล์ของจักรยานได้ถึง 3 คัน แต่ก็ต้องทำการสลับคันผ่าน app บน smartphone เท่านั้นครับ








ทดสอบใช้งาน
ทดสอบการใช้งานเมื่อ เทียบกับ Edge 820 ระยะหายไปประมาณ 200m วัดความสูงกับความชันเพี้ยนๆ ถ้ามีให้ calibate ได้คงดี ใครสั่งมาแนะนำให้ upgrade firmware ก่อนเพราะตัวที่มาจากโรงงานจะมีบั๊กไม่แสดงความสูงความชัน(แต่พอ sync เข้ามือถือ strava ข้อมูลขึ้น)

แต่โดยรวมใช้งานได้ดี แจ้งเตือน heartrate ได้ มีแบ๊คไลท์ออโต้ ใส่ขาไมล์ garmin ได้ ทั้งแบบเก่าแบบใหม่ น้ำหนักเบา แบตอึด sync strava ได้ แปดร้อยบาทได้ขนาดนี้โคตรคุ้มครับ









ส่วนข้อเสียของเจ้าไมล์ตัวนี้ หรือจะเรียกว่าข้อจำกัดก็ได้
  • ไม่รองรับ Power Meter และระบบเกียร์ไฟฟ้า
  • ไม่รองรับการแจ้งเตือนต่างๆ ของ smartphone 
  • ไม่รองรับการตั้งค่า HR Zone
  • หน้า Data Page มีเพียง 3 หน้า ไม่สามารถแก้ไขปรับแต่งการแสดงผลตามต้องการได้
  • ไม่สามารถเอาไปต่อกับ computer เพื่อ copy ไฟล์กิจกรรมแล้วเอาไป upload แบบแมนนวลได้
  • ไม่สามารถบันทึก Lap Point ได้
  • คู่มือการใช้งานงานมีเพียงกระดาษแข็งที่ทำมาเป็นแผงหลังเพียงแผ่นเดียวเท่านั้น
  • ไม่สามารถใช้ในการนำทางได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบ Navigation หรือ Turn by Turn ได้




วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

มาเปลี่ยนมือถือให้เป็น ไมล์จักรยาน ด้วย Wahoo Finess กัน

จากโพสก่อนโน้นนนนนนน ที่ผมลงวิธีทำให้ smartphone เป็นไมล์จักรยาน แล้วเชื่อมต่อกับ Sensor ด้วย Ant+ ไปแล้ว คราวนี้เรามาทำอะไรที่มันไม่ยุ่งยากแบบนั้นด้วย Bluetooth กันครับ ด้วยที่ว่าปัจจุบัน Sensor ต่างๆ เช่น HRM ,Cadence ,Speed Sensor รวมไปถึง Powermeter ทำออกมาให้สามารถส่งข้อมูลผ่าน Bluetooth กันมากขึ้น ไม่ได้ส่งผ่าน Ant+ กันอย่างเดียวเหมือนแต่ก่อน มันจึงช่วยให้สะดวกชีวิตกันมากขึ้น เพราะถึง smartphone ทั่วไปทั้ง Android และ iPhone ถึงจะไม่ Support Ant+ แต่ก็ support Bluetooth แน่นอน แต่ version ไหนก็ต้องว่ากันไปแต่ละรุ่นครับ และเหมือนเดิม คราวนี้เราจะมาใช้ App "Wahoo Finess" กันเช่นเคย เพราะปัจจุบัน Strava นั้นถอด Feature ในการเชื่อมต่อ Sensor ภายนอกออกไปเนื่องจากปัญหา Bug ของระบบครับ เริ่มแรกด้วยการติดตั้ง app "Wahoo Finess" เช่นเคยครับ
เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก็เรียกใช้งาน app แล้วลอคอินเข้าใช้งานครับ ถ้ายังไม่มี Wahoo account สามารถสมัครได้เลยหรือล๊อคอินผ่าน Facebook หรือ Google account ได้ครับ
แล้วกำหนดข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตัวเรา เช่น เพศ อายุ ความสูง น้ำหนัก etc.
เมื่อเสร็จแล้ว คลิ๊กที่ปุ่ม "Pair or Link Sensor" เพื่อไปยังหน้า Sensor ครับ
คลิ๊ก "Add new sensor" แล้วเลือก "Quick pair a new sensor" แล้วเปิด Sensor รอได้เลยครับ (อย่าลืมเปิด Bluetooth ที่โทรศัพท์ก่อนนะครับ)
ตัว app จะแสดงรายชื่อ Sensor ที่มันหาเจอ จากนั้นก็เลือก Sensor ที่ต้องการจับคู่
ตั้งชื่อ Sensor แล้วก็คลิ๊กที่ "Save Sensor"
จากนั้นกำหนดค่าให้ Sensor ตัวนี้สามารถใช้กับกิจกรรมอะไรบ้าง เมื่อเสร็จแล้วก็คลิ๊กที่ปุ่ม Back กลับไป
แต่ในกรณีที่เป็น Speed Sensor ขอแนะนำว่าควรกำหนดระยะวงรอบของล้อ และกำหนด Data source ให้รับจาก Sensor และ GPS ด้วยครับ เพราะในบางพื้นที่ บางจุดจะอับสัญญาณ GPS ตัว app จะมาใช้ข้อมูลจาก Sensor แทนครับ เมื่อเริ่มต้นปั่น(หรือถ้าต้องการวิ่ง ก็เลือก activity เป็น Running ก็ใช้ได้แล้วครับ) แล้วคลิ๊กที่ "Start Workout"
ที่หน้า Data Page ก็คลิ๊กที่ Start เพื่อเริ่มบันทึกกิจกรรมครับ
เมื่อปั่นเสร็จแล้วก็คลิ๊กที่ Pause แล้วคลิ๊ก Stop อีกที เพื่อบันทึกกิจกรรรมครับ
เมื่อบันทีกกิจกรรมเรียบร้อยแล้ว ตัว app สามารถ Sync ไปยัง Strava หรือ Endomondo ได้ทันทีครับ